SROI – กับศาสตร์พระราชา และมรรคมีองค์ 8

ทางสมาคม SV Thailand ได้มีโอกาสร่วมจัดอบรม SROI Workshop ที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ในระหว่างวันที่ 15-16 มค. ที่ผ่านมา โดยรองศาสตราจารย์ ดร.เปรื่อง กิจรัตน์ภร รักษาราชการแทนอธิการบดี ท่านได้กล่าวเปิดพร้อมตอกย้ำวิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัยราชภัฎเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น ตามพระราชปณิธานของในหลวงรัชกาลที่ 9 ให้มหาวิทยาลัยราชภัฎเป็นสถาบันและกลไกหลักในการผลิตคนดี และมีความรู้ ที่เห็นถึงประโยชน์แก่ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสังคม 

ท่านได้สะท้อนถึงแก่นสำคัญของ ”ศาสตร์พระราชา” และปณิธานและที่มาในการก่อตั้งมหาวิทยาราชภัฎ ฟังท่านกล่าวเปิดแล้วเกิดความประทับใจอย่างยิ่ง และพบว่าสิ่งที่ท่านกล่าวเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งและสอดคล้องกับ “หัวใจสำคัญของ SROI” ที่มาตรฐานสากลใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลก จึงขออนุญาติท่านอาจารย์เปรื่องถ่ายทอดเรื่องราว “รากของความภูมิใจในความเป็นไทย” ที่ช่วยธำรงสังคมไทยให้คงอยู่ เติบโต และเกื้อกูลกันเป็นเอกลักษณ์ที่ยากจะหาที่ใดเหมือน ท่านมีความมุ่งมั่นตั้งใจ ถ่ายทอดประสบการณ์ มุมมอง สู่นักวิจัย ผู้บริหาร คณาจารย์ รุ่นใหม่ ให้สามารถผนวกศาสตร์สมัยใหม่และ “รากเหง้า” ประสบการณ์ในรุ่นก่อน หลอมรวมเป็นนักพัฒนาท้องถิ่นที่ดี 

ท่านเปิดบทสนทนาถึง Social Value หรือ “ประโยชน์สุขต่อสังคม” นับเป็นสิ่งสำคัญ พวกเราชาวราชภัฎ ทั้ง 38 แห่ง ทั่วประเทศได้ ยึดมั่นถือถือเป็นสำคัญในการปฏิบัติหน้าที่ เรามีภาระความรับผิดชอบต่อการสร้างประโยชน์สังคม พัฒนาท้องถิ่น สร้างผลตอบแทนทางสังคมและความคุ้มค่าของการใช้งบประมาณซึ่งมาจากภาษีของประชาชนไทย “SROI” Social Return on Investment ที่จะมุ่งสะท้อนไม่เพียงกำไร ในวิธีคิดของการดำเนินธุรกิจ แต่การพัฒนาสังคมและท้องถิ่น ที่นำประโยชน์สังคมเป็นตัวตั้ง เริ่มต้นการขมวดความสำคัญที่ตอกย้ำ ชาว PRNU “ทำไม” ต้องมารวมตัวกันในวันนี้

ท่านเปิดบทสนทนา ชวนคิดในเรื่องการแก้ไขปัญหา หรือ “ทุกข์” ของชาวบ้าน เราต้องมีความรู้ความเข้าใจและหนทางในการแก้ทุกข์ ท่านอาจารย์เปรื่องได้ยกถึง อริยสัจ 4 หรือ “ความจริงอันประเสริฐ” เริ่มต้นที่ Part แรกคือ ความเข้าใจต่อ ทุกข์ ปัญหาอย่างลึกซึ้ง และสมุทัย สาเหตุของปัญหานั้น และ Part หลัง คือ นิโรธ ความดับทุกข์ และ มรรค หนทางแห่งความดับทุกข์

พวกเรา “นักวิจัย” จะเสาะหาแนวทาง พัฒนาความรู้ สู่การแก้ไขปัญหาสังคม ด้วยการเข้าใจ “ท้องถิ่น” และถึงแม้มหาวิทยาลัยราชภัฏทั้ง 38 แห่งจะมีปณิธานเดียวกัน แต่ก็ไม่เหมือนกัน การเข้าใจพื้นที่ การเข้าใจท้องถิ่น และความสามารถในการพัฒนาความรู้ จุดแข็งความสามารถที่แตกต่างกันตามบริบทของพื้นที่ “การระเบิดจากข้างใน” การพัฒนาจึงจะเกิดขึ้นได้ ถึงตรงนี้ สำหรับ SROI คือหลักการที่ 1 Involve Stakeholders ที่ท่านได้เน้นประเด็นสำคัญคือ “Segmentation” และ หลักการข้อที่ 3 Value the things that matter คุณค่าอยู่ที่มุมมองและสายตาของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ดังนั้นชาวบ้าน ท้องถิ่นไม่ได้เหมือนกัหนหมด ไม่ได้มีปัญหา ความต้องการเหมือนกัน เราจะทำให้เขาได้ประโยชน์ เห็นคุณค่า นั้น โจทย์แรกที่ต้องศึกษาข้อมูลคือ ศึกษาเข้าใจชาวบ้านก่อน

ท่านกล่าวถึงหลักการสำคัญที่ปวงชนชาวไทยได้เรียนรู้จากศาสตร์พระราชา 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ที่เป็นแกนสำคัญในการดำเนินงานเพื่อพัฒนาท้องถิ่น ด้วยความพอประมาณ รู้จักตน เป็นเหตุเป็นผล ซึ่งสอดคล้องกับหลักการพื้นฐาน Theory of Change ที่เป็นฐานรากสำคัญในการประเมิน SROI การเข้าใจผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและตัวเราในฐานะผู้พัฒนาท้องถิ่น หลักการข้อที่ 1 Involve Stakeholders รู้เขา รู้เรา อย่างลึกซึ้ง หลักการข้อที่ 2 Understand What Changes ความเป็นเหตุเป็นผลและการนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง 

ท่านอาจารย์เปรื่อง ยกตัวอย่างการพัฒนา ด้วยความตั้งใจดีของนำการเมืองท้องถิ่น ใช้งบประมาณไปกับการนำของไปแจกชาวบ้าน ที่อาจนำไปสู่ความอ่อนแอของสังคม ตามพระราชดำรัสและคำสอนของพ่อ “เราไม่ควรให้ปลา แก่เขา แต่ควรจะให้เบ็ดตกปลา และสอนให้รู้จักวิธีตกปลาจะดีกว่า” กิจกรรม โครงการ บริการวิชาการ ที่เราลงไปขับเคลื่อน อาจจเกิดผลลบก็เป็นได้ สอดคล้องกับการประเมินผลลัพธ์ SROI ที่ครอบคลุมการประเมินไม่เพียงแต่การวัดผล ตามวัตถประสงค์ที่เราต้องการหรือรับผิดชอบ (Responsibility – KPI) แต่ติดตามผลที่เกิดขึ้นทั้งผลบวก ทั้งผลลบ ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ (Accountability – Positive / Negative / Intended / Unintended) มาถึงตรงนี้ รู้สึกว่าท่านอาจารย์เปรื่องกำลังช่วย Intro SROI แบบที่ได้เตรียมซักซ้อมกัน แต่ท่านได้ถ่ายทอดในทางที่เราไม่ได้เคยหยิบยกมาก่อน

ดังนั้นแล้ว ในฐานะผู้ทรงความรู้ทั้งหลาย การนำปัจจัย 2 เงื่อนไข คือ “คุณธรรม” นับเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งที่จะทำให้ท่านมีความเห็นชอบ เห็นตามที่เป็น ปราศจาก “อคติ” ไม่ได้มองประโยชน์ตน ประโยชน์คณะ หรือใครคนใดคนหนึ่งเป็นที่ตั้ง เมื่อมีมุมมอง เห็นชอบ ดำริชอบ การนำ ปัจจัย “ความรู้” ที่ทุกท่านมีอยู่มากมายนำมาใช้ได้อย่างเหมาะสม ตีโจทย์สังคมได้แตก วางแผนและการขับเคลื่อนโครงการเพื่อพัฒนาท้องถิ่นสอดคล้องกับแนวปฏิบัติหนทางดับทุกข์ “มรรคมีองค์ 8” เพื่อตั้งเป้าหมายสู่การแก้ไขปัญหา บรรเทาทุกข์ บำรุงสุข สร้างคุณค่าสังคม จะบังเกิดขึ้น สอดคล้องกับหลักการที่ 5 Do not Overclaim 6 Be transparance 7 Verifiy Result และ ข้อ 8  Be Responsive  การเชื่อมร้อยความเข้าใจทุกข์หรือปัญหาสังคม มาสู่หนทางการพัฒนาท้องถิ่น ที่จะมั่นใจว่าจะนำไปสู่หนทางแห่งการดับทุกข์และแก้ไขปัญหาที่แท้นั้น จึงขออนุญาตท่านอาจารย์เปรื่องนำมาสังเคราะห์ เปรียบเทียบและขมวดประเด็นมาให้ทุกท่านได้ไปขบคิดกันต่อค่ะ

“SROI” เป็นเครื่องมือเพื่อช่วยให้นักวิจัยท่านหลายได้ ช่วยหาคำตอบอย่างไม่อคติ และทดลอง เพียรพยายาม นำความรู้ สู่การแก้ปัญหาสังคม พัฒนาท้องถิ่นได้จริง เกิดประโยชน์กับชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม วัดผลได้ และทำให้พวกเรามั่นใจได้ว่า เงินของประชาชนกว่าพันล้านต่อปีที่ไว้วางใจมาให้มหาวิทยาลัยราชภัชทั้ง 38 แห่ง นำไปสู่กิจกรรมที่ดี จะยังประโยชน์ คุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ ในการสร้างคุณค่าสังคม ที่มากกว่าเพียงจับต้องโดยกำไรได้ 

สกุลทิพย์ กีรติพันธวงศ์

เลขาธิการ สมาคมผู้ประเมินมูลค่าทางสังคมไทย

ผู้เขียน

Categories: Training

0 Comments

ใส่ความเห็น

Avatar placeholder

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *