บทความตอนนี้จะอธิบายถึง ขั้นตอนการวัดและการจัดการคาร์บอนในองค์กร ซึ่งอ้างอิงมาจากบทความ “Measure and managing greenhouse gas emissions (GHG) ที่เผยแพร่เป็นการทั่วไปบร www.optelgroup.com” โดยบทความนี้ อธิบายขั้นตอนง่ายๆ สรุปได้6 ขั้นตอนดังนี้
          (1) การกำหนดขอบเขตการจัดการขององค์กร (Define organization boundaries)
          (2) การกำหนดขอบเขตด้านการดำเนินงาน (Define operational boundaries)
          (3) การเลือกปีฐาน (Choose your base year)
          (4) การกำหนดแหล่งที่มาของการปล่อย GHG (Identify GHG emissions sources)
          (5) การเลือกวิธีคำนวณ (Select a calculation approach)
          (6) การรวบรวมข้อมูลและการคำนวณ (Collect and calculate)

1. การกำหนดขอบเขตการจัดการขององค์กร (Define organization boundaries)

องค์กรสามารถเริ่มต้นโดยการกำหนดขอบเขตว่าจะรับผิดชอบกับ GHG ที่เกิดขึ้นจากการผลิตและการจัดการ เช่นตั้งแต่การได้มาซึ่งวัตถุดิบ วัสดุอุปกรณ์ การขนส่ง การผลิต การจัดจำหน่าย การให้บริการ การจัดการของเสีย การจัดการหขังการขาย เป็นต้น
การกำหนดขอบเขตขององค์กร แบ่งได้เป็น แบบควบคุม (Control Approach)และแบ่งเป็นแบบปันส่วนตามกรรมสิทธิ์ (Equity Share)
วิธีแบบควบคุม ยังแบ่งได้เป็น วิธีควบคุมการดำเนินงาน (Operational Control) และ วิธีควบคุมจากการเงิน (Financial Control)
-Operational Control หมายถึงการที่องค์กรประเมินและรวบรวมปริมาณการปล่อยและดGHG ที่เกิดขึ้นภายใต้อำนาจและการควบคุมขององค์กร
-Financial Control หมายถึงการประเมินและรวบรวมข้อมูลการปล่อยและดูดกลับ GHG ขององค์กรที่เกิดขึ้นของหน่วยงานขององค์กรภายใต้อำนาจการควบคุมทางการเงิน ซึ่งยึดตามสัดส่วนทางการเงินที่เกิดขึ้นจริงและมีการระบุไว้ในรายงานทางการเงินขององค์กรเป็นหลัก

ส่วนวิธีแบบปันส่วนตามกรรมสิทธิ์ (Equity Share) เป็นการกำหนดขอบเขตการรวบรวมผลการคำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยปันตามสัดส่วนของลักษณะการร่วมทุน หรือลงทุนในอุปกรณ์ หรือหน่วยผลิตนั้นๆ
ประเภทของหน่วยงานภายใต้การควบคุมทางการเงินและปันตามส่วนตามกรรมสิทธิ์ ได้แก่
(1) Group companies/subsidiaries
(2) Associatesd/affiliated companies
(3) Non-incorporated joint ventures/partnerships/operations where partners have joint financial control
(4) Fixed asset investments
(5) Franchises
(ผู้สนใจประเด็นนี้สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ The Greenhouse Gas Protocol,Chapter 3 Setting Organization)

2. กำหนดขอบเขตด้านการดำเนินงาน (Define your operational boundaries)

องค์กรอาจกำหนดและเรียงลำดับของการจัดการตามScope ของ GHG ได้เเก่ Scope 1,2,3 ว่าจะจัดการอะไร เมื่อใด อย่างไร รวมทั้งกำหนดระยะเวลาที่จะรายงานความก้าวหน้าในการลด GHG ว่าจะออกมาเมื่อใด

จากเอกสารอ้างอิงของ สุวิน อภิชาติพัฒนศิริ เรื่อง หลักการ วิธีการประเมินและการกำหนดขอบเขตของกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรตามแนวทางการประเมินคาร์บอนฟุตพรินท์องค์กรของประเทศไทย อบก. และกรณีศึกษา ที่เผยแพร่ใน www.localcfo.tgo.or.th สรุปขอบเขตการดำเนินงาน (Operational Boundaries)ไว้ดังนี้
(1) การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง (Scope1 : Direct Greenhouse Gas Emission) ซึ่งแย่งออกเป็น
-การเผาไหม้ที่อยู่กับที่ (Stationary Combustion) เช่น(1)การผลิตไฟฟ้า ความร้อนและไอน้ำเพื่อใช้เองภายในองค์กรและ/หรือเพื่อการส่งออก หรือแจกจ่ายให้แก่ผู้ใช้งานนอกขอบเขตองค์กร และการสูญเสียที่เกิดขึ้นในระหว่างการส่งผ่านพลังงานไฟฟ้า ความร้อนหรือไอน้ำ
รวมถึง (2)การเผาไหม้ของเชื้อเพลิงจากการใช้งานของอุปกรณ์ และ/หรือ เครื่องจักรที่องค์กรเป็นเจ้าของ หรือเข่าเหมามาแต่องค์กรรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของน้ำมันเชื้อเพลิง
และ(3) การเผาไหม้ของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการหุงต้มภายในองค์กร โดยองค์กรเป็นผู้รับผิดชอบการดำเนินงานดังกล่าว

-การเผาไหม้ที่มีการเคลื่อนที่ (Mobile Combustion) หมายถึงการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงจากกิจกรรมการขนส่งของยานพาหนะที่องค์กรเป็นเจ้าของ หรือเช่าเหมา แต่องค์กรรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของน้ำมันเชื้อเพลิง

-การรั่วไหล (Fugitive Emission)ได้แก่
(1) การรั่วซึมของก๊าซเรือนกระจกออกสู่บรรยากาศภายนอกที่เกิดขึ้น ณ บริเวณรอยเชื่อมข้อต่อท่อของอุปกรณ์ที่ตั้งอยู่ภายในขององค์กร เช่นสารทำความเย็น หรือการรั่วไหลของก๊าซเรือนกระจกจากอุปกรณ์ต่างๆที่ตั้งอยู่ภายในองค์กรในขณะทำการซ่อมบำรุง (2) การใช้อุปกรณ์ดับเพลิงประเภทที่สามารถก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกได้ (3) ก๊าซมีเทนที่เกิดขึ้นจากกระบวนการบำบัดน้ำเสียและหลุมฝังกลบ (4)ก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากการใช้ปุ๋ย หรือสารเคมีเพื่อการซักล้าง หรือทำความสะอาดภายในองค์กร

-การเผาไหม้ชีวมวล (Biomass Combustion) ได้แก่การเผาไหม้วัสดุที่มีส่วนประกอบสารชีวมวล ที่เกิดขึ้นภายในองค์กร

(2) การปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมการใช้ไฟฟ้า (Scope 2 : Indirect GHG emission) เป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ณ แหล่งที่มีการผลิตกระแสไฟฟ้า กรณีของผู้ผลิตไฟฟ้า ในกรณีของผู้ใช้ จะคำนวณจากปริมาณไฟฟ้าที่ซื้อมาใช้ นอกจากนี้ยังรวมถึงพลังงานชนิดอื่นที่ซื้อมาด้วยได้แก่ ไอน้ำ น้ำร้อน น้ำเย็นด้วย

(3) การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่นๆ (Scope 3 : Other indirect GHG emission) ได้แก่ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมต่างๆ นอกเหนือจากที่ระบุไว้ในประเภทที่ 1 และ 2 ที่เกิดจากการใช้สินค้าและบริการ หรือ การจ้างเหมาช่วง ตัวอย่างเพิ่มเติม เช่น
-การเดินทางของพนักงานเพื่อการประชุม สัมมนา และติดต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับองค์กร ด้วยระบบการขนส่งประเภทต่างๆ เช่น ยานพาหนะส่วนตัว ยานพาหนะที่ใช้ภายในองค์กรแต่จ้างเหมาบริการรวมน้ำมันเชื้อเพลิงจากภายนอกองค์กร รถไฟ เรือโดยสาร เครื่องบิน เป็นต้น
-การเดินทางไปกลับจากที่พักถึงองค์กร เพื่อการทำงานของพนักงาน ด้วยยานพาหนะส่วนตัว หรือยานพาหนะที่ใช้ภายในองค์กร แต่จ้างเหมาบริการรวมน้ำมันเชื้อเพลิงจากภายนอกองค์กร หรือระบบขนส่งสาธารณะ
-การขนส่งผลิตภัณฑ์ วัตถุดิบ คนงาน หรือกากของเสียที่เกิดจากการจ้างเหมาบริการโดยหน่วยงานหรือองค์กรอื่นภายนอกขอบเขตขององค์กรที่ได้กำหนดไว้
-กิจกรรมต่างๆ ที่สามารถก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเกิดจากการจ้างเหมารับช่วงดำเนินงาน โดยหน่วยงานหรือองค์กรอื่นภายนอกขอบเขตขององค์กรที่ได้กำหนดไว้ เช่นการเผาไหม้เชื้อเพลิงเพื่อการหุงต้มจากกิจกรรมการประกอบอาหารภายในโรงอาหาร โดยการจ้างเหมาบุคคล หน่วยงาน หรือองค์กรภายนอก
-การปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากการกระบวนการกำจัดกากของเสีย และการบำบัดน้ำเสีย โดยหน่วยงาน หรือองค์กรอื่นภายนอกขอบเขตขององค์กรที่ได้กำหนดไว้
-การปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากผลิตภัณฑ์หรือบริการขององค์กรในช่วงการใช้งาน (Use Phase) และช่วงหลังใช้งาน (End-of-life Phase)
-การปล่อยยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการใช้พลังงานไฟฟ้าทางอ้อมของบ้านพักพนักงานภายในองค์กร
-การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมการใช้น้ำประปาภายในองค์กร
-การปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากวัสดุสำนักงานที่มีการใช้ภายในองค์กร เช่นกระดาษ หมึกพิมพ์ ดินสอ ปากกา ยางลบเป็นต้น

3. การเลือกปีฐาน (Choose your base year)

องค์กรจะต้องพิจารณาและตัดสินใจเลือกปีฐาน ซึ่งจะเป็น Baseline ในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการปล่อย GHG ที่มาจากด้านต่างๆขององค์กร ซึ่งควรจะเป็นข้อมูลที่ถูกตรวจสอบจากหน่วยงานภายนอกที่เป็นที่ยอมรับ (Verifiable and comprehensive data) หากองค์กรยังไม่เคยทำ อาจกำหนดเป็นแผน เช่น ภายใน1-2ปีข้างหน้า จะกำหนด Base Year ซึ่งไม่เพียงแต่กำหนดเท่านั้นแต่ต้องดำเนินการวัดค่าและเก็บข้อมูลเอาไว้ให้พร้อม เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลสำหรับดำเนินการต่อไป

อนึ่ง ปัจจุบันประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทยและบรรดาองค์กรที่มีความก้าวหน้าในเรื่องนี้ ต่างพากันกำหนดปีที่เป้าด้าน Neutrality คือ ในปี 2030 และปีที่เป็นเป้าด้าน Net Zero คือ ในปี 2065 แบะในขณะที่เขียนบทความนี้ อยู่ในปี 2024 ดังนั้นองค์กรหรือบริษัทใดๆที่ยังไม่ได้กำหนดเป้าหมายและแผนการมุ่งสู่ Neutrality และ Net Zero จะมีความเสี่ยงอย่างมากต่อความสามารถในการแข่งขันของตนในอนาคต

(ยังมีต่อ)

4 ตุลาคม 2567

Categories: Article

0 Comments

ใส่ความเห็น

Avatar placeholder

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *